30919 จำนวนผู้เข้าชม |
ขอบคุณบทสัมภาษณ์พิเศษกับเวป www.wministry.com
บทความโดย Priewpan Saenlawan, Senior Writer, W. MINISTRY
PHUMM (ภูมิ)
แบรนด์กระเป๋ากับคราฟส์แมนชิพจากยุคสงครามโลก นำเสนอเสน่ห์แห่งโลกเก่าที่ไม่เคยตกยุค
สงครามเมนส์แวร์บ้านเราไม่ต่างอะไรไปจาก “Red Ocean” หรือ “มหาสมุทรสีแดง” ที่แต่ละแบรนด์ต่างต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างสรรค์เอกลักษณ์เฉพาะตัว คาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เพื่อที่จะตอบคำถามของผู้บริโภคให้ได้ว่า “ทำไมต้องซื้อแบรนด์นี้”
PHUMM คือหนึ่งในแบรนด์ที่สร้างจุดยืนของตัวเองในสงครามได้อย่างยอดเยี่ยม ระยะเวลากว่า 5 ปีที่แบรนด์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างมั่นคงคือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน
คุณเบน ทศพล พุ่มเจริญ ผู้ก่อตั้งได้ใช้มรดกจากยุคสงครามโลก ผสมผสานเข้ากับแพชชั่นที่มีอย่างเต็มเปี่ยม กลายเป็นผลลัพธ์แห่งสไตล์ที่ทั้งเก๋าและมีเสน่ห์อย่างไม่เสื่อมคลาย ซึ่งในวันนี้ W.Ministry จะไปพูดคุยกับเขากัน
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว คือช่วงเวลาที่แบรนด์ PHUMM หรือที่ออกเสียงง่ายๆ แบบฉบับไทยว่า “ภูมิ” ซึ่งเป็นการนำนามสกุล “พุ่มเจริญ” ของคุณเบนมากร่อนคำให้กระชับ ติดหู และสื่อถึงภูมิปัญญาคนไทยได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยแนวคิดเรียบง่าย ไม่หวือหวา ทว่ามีประสิทธิภาพ
“แบรนด์ PHUMM เริ่มต้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วครับ จริงๆ ก่อนหน้านั้นตัวผมทำโรงงานผลิต OEM ให้กับแบรนด์อื่น สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นกระเป๋าผู้หญิง SME แต่จริงๆ แล้วเราถนัดเกี่ยวกับไอเท็มผู้ชายมากกว่า ก็เลยเริ่มลงมือทำแบรนด์ของตัวเอง โดยสินค้าที่ผลิตจะเป็นสิ่งที่เราถนัดและมีแพชชั่นกับมัน”
“ผมชื่นชอบกระเป๋าหนัง กระเป๋า Canvas อยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นของแบรนด์ต่างประเทศที่นำเข้ามาขาย แต่มันก็เกิดคำถามว่าทำไมราคามันถึงสูง มันอาจจะมีค่าภาษีบวกกับกำไรของแต่ละร้านที่นำเข้ามาขาย ซึ่งเราคิดว่าดูจากวัสดุและวิธีการทำ เราเองก็น่าจะทำได้เหมือนกัน ในราคาที่ถูกกว่า มันเลยเป็นตัวจุดประกายในการเริ่มต้นผลิตออกมาในสไตล์ของเรา” คุณเบนเล่าถึงจุดเริ่มต้น ก่อนที่ทุกคนจะได้รู้จักกับ PHUMM ในภายหลัง
เมื่อมีแพชชั่นที่อยากจะทำแล้ว แน่นอนว่าไม่เพียงพอ การจะสร้างแบรนด์ให้อยู่รอดได้ในสงครามเมนส์แวร์จำเป็นต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อมีความชื่นชอบ คำตอบของคำถามนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เอกลักษณ์ของ PHUMM นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มผลิตคือการใช้ Waxed Canvas เป็นวัสดุหลัก
“Waxed Canvas คือการเอาขี้ผึ้งเคลือบลงบนผ้าเพื่อไม่ให้น้ำซึมผ่านได้ มันจะทำให้ผ้าแข็งแรงมากขึ้น กันน้ำได้ดีขึ้น และไม่เปื่อยยุ่ยง่าย”
“ส่วนประกอบหลักของ Waxed Canvas จริงๆ มันก็คือขี้ผึ้งนี่แหละครับ ซึ่งในการทำ Wax แต่ละแบรนด์ก็จะมีสูตรที่แตกต่างกันไป อย่างของผมก็ใช้ขี้ผึ้งเป็นหลัก ผสมกับน้ำมันสกัดจากพืช”
“ตามประวัติศาสตร์มันเริ่มจากยุคสมัยที่ชาวประมงยังใช้เรือใบในการแล่นออกไปหาปลา พวกเขาจะใช้ Wax มาเคลือบบนผ้าใบเรือ เพื่อไม่ให้ลมผ่านผ้าไปได้ เรือก็จะสามารถแล่นได้เร็วขึ้น จากนั้นก็เป็นในยุคสงครามโลก แต่ทหารที่นิยมนำ Wax มาเคลือบบนเต๊นท์ อุปกรณ์ รวมถึงชุดเครื่องแบบ เพื่อให้ทนทานต่อสภาพอากาศได้ดียิ่งขึ้น”
“แต่ยุคหลังที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น ความนิยมของการใช้ Wax ธรรมชาติมาเคลือบบนผิวผ้าก็ลดลง เพราะ Wax เป็นวัสดุธรรมชาติ มันก็จะมีสีเหลืองของขี้ผึ้งรวมอยู่ด้วย เวลาเอามาเคลือบบนผ้า สีผ้ามันก็จะเปลี่ยน จากผ้าขาวก็อาจทำให้เหลือง จากผ้าเขียวก็อาจเป็นเขียวอมเหลือง”
ถึงแม้การเคลือบ Wax จะเป็นกรรมวิธีแบบโบราณที่ผ่านกาลเวลามานับศตวรรษ และมีข้อเสียที่เทคโนโลยียุคใหม่สามารถเอาชนะได้ แต่คุณเบนกลับมองมุมกลับด้วยเลนส์ของผู้ชื่นชอบความวินเทจ เขาคิดว่า Waxed Canvas มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่มีอะไรทดแทนได้
“จริงๆ ผมชอบอะไรที่มันเป็น D.I.Y อยู่แล้วครับ และ Waxed Canvas มันก็เป็นเทคนิคแฮนด์เมดในอดีต ซึ่งในตลาดบ้านเราแทบจะยังไม่มีใครทำเลย สว่นใหญ่จะเป็นแบรนด์อเมริกา ยุโรป ผมก็เลยลองเอามาพัฒนาดู สร้างสรรค์จุดเด่นในการเคลือบ Wax ลงบนผ้า ให้มีสไตล์ในแบบที่ยังไม่มีแบรนด์ไหนทำ”
“ถามว่า Waxed Canvas ดีกว่าการใช้เคมีหรือว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ไหม ก็คงไม่ได้ดีกว่า แต่ว่าเสน่ห์ของมันคือด้วยความที่เป็นวัสดุจากธรรมชาติ เมื่อใช้ไปนานๆ ลายผ้ามันก็จะเปลี่ยน คล้ายกับการเฟดของกางเกงยีนส์ ตรงไหนที่มันเสียดสีบ่อยๆ ก็จะเกิดเป็นรอยเฉพาะตัว”
“ลักษณะเหมือนหนังแท้ที่เราใช้ไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดเป็นรอย มีความยับ มีความฉ่ำ กลายเป็นว่ายิ่งเก่ายิ่งสวย”
“เสน่ห์อีกอย่างคือหากใช้ไปสัก 2-3 ปี Wax ที่เคลือบก็จะเสื่อมลงไป แต่ความสนุกคือเราสามารถเติม Wax ลงไปเคลือบใหม่ด้วยตัวเองได้ ง่ายๆ แค่ทาและเป่ามันด้วยลมร้อน”